ไข้เลือดออก (Dengue Fever) โรคระบาดประจำฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่มียุงลายชุกชุม ในปี 2556 นั้น มีผู้เสียชีวิตจาก โรคไข้เลือดออกถึง 136 ราย สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย อันตรายขนาดนี้ มาดูกันดีกว่าว่า เราจะสามารถเตรียมพร้อมรับมือ กับโรคนี้ได้ยังไงบ้าง
ไข้เลือดออก เกิดจากอะไร?
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งมีอาการแสดงได้ 3 แบบ คือ
• ไข้เดงกี (Denque Fever – DF)
• ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) และ
• ไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS)
คนๆหนึ่งมีโอกาสติดเชื้อ ไข้เลือดออก ได้หลายครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว จะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรง เพียงครั้งเดียว หรือไม่ควรเกิน 2 ครั้งตลอดชีวิต มีน้อยมาก ที่จะติดเชื้อแบบรุนแรงซ้ำ ๆ
อาการของโรคไข้เลือดออก
อาการของโรคไข้เลือดออก แบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ
• ระยะที่ 1 หรือระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะ มีไข้ สูง อย่างฉับพลัน มีลักษณะเป็นไข้สูงลอย (Sustained Fever) ตลอดเวลา แม้จะกินยา แก้ไข้หวัด ไข้ก็ไม่ลด หน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว กระหายน้ำ ซึม มีอาการเบื่ออาหาร และอาเจียนร่วมด้วยเสมอ อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย ในบางราย อาจมีอาการท้องผูก หรือถ่ายเหลว
ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ผิวหนังบริเวณใบหน้า ลำคอ และหน้าอกของผู้ป่วยอาจมีอาการแดง ซึ่งเกิดจากการที่มีหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว หากเอามือกดจะมีสีจางลง เมื่ออาการผิวหนังแดงหายไป อาจมีผื่นปื้นแดงคล้ายหัด ไม่คัน ขึ้นตามแขนขา และลำตัว โดยจะเป็นอยู่ประมาณ 2-3 วัน ในบางราย อาจพบผื่นเป็นจ้ำเลือด หรือจุดเลือดออก ที่มีเป็นจุดแดงเล็ก ๆ ร่วมด้วย โดยจะขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ และในช่องปาก
ในระยะนี้ หากไม่มีอาการรุนแรง ไข้จะลดลงในวันที่ 5-7 บางรายอาจมีไข้เกิน 7 วันได้ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงมาก ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2
• ระยะที่ 2 หรือระยะช็อก และมีเลือดออก หรือระยะวิกฤติ มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 อาการจะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 3-7 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤติของโรค โดยไข้จะเริ่มลดลง แต่อาการผู้ป่วยกลับทรุดหนัก ปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น ปลายมือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว และมีความดันต่ำ ถ้าเป็นรุนแรง ผู้ป่วยอาจไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว คลำชีพจรไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเสียชีวิตได้ภายใน 1-2 วัน
ในระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
• ระยะที่ 3 หรือระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติช่วงในระยะที่ 2 แล้ว อาการก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และทันท่วงที ก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวเข้าสู่สภาพปกติ โดยผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหาร ชีพจรเต้นช้าลง ความดันโลหิตกลับมาสู่ระดับปกติ ปัสสาวะออกมากขึ้น
ผู้ป่วยบางราย อาจมีผื่นวงเล็ก ๆ สีขาวขึ้นบนปื้นสีแดงบนผิวหนัง โดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้าง ผื่นชนิดนี้ ส่วนมากจะไม่มีอาการคัน และไม่เจ็บ อาจพบอาการคันตามผิวหนังเล็กน้อย มักจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยไม่ค่อยทิ้งรอยดำ หรือแผลเป็น
ภาวะแทรกซ้อนในโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก เป็นโรครุนแรง แต่ก็มีโอกาสรักษาให้หายได้สูง หากได้รับการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 50% ซึ่งมักเกิดจากภาวะแทรกซ้อน เช่น
• เลือดออกตามอวัยวะต่างๆ
• เกิดภาวะช็อก
• อาจทำให้เกิดภาวะตับวาย มีอาการดีซ่าน
• มีภาวะน้ำเกินในร่างกาย จนเกิดมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด หรือในช่องท้องมากเกินไป ทำให้หอบ หายใจลำบาก
• อาจทำให้เป็นปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ สมองอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้
การรักษาโรคไข้เลือดออก
ในปัจจุบัน ยังไม่มี ยาสำหรับรักษาโรคไข้เลือดออก โดยตรง หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง โรคนี้ก็จะหายได้เอง การรักษาจึงมักเป็นการรักษาตามอาการเป็นสำคัญ
• หากมีไข้สูง โดยไม่มีอาการไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูกไหลร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน หรือช่วงที่โรคไข้เลือดออกระบาด
• นอนพักผ่อนมาก ๆ ในที่อากาศถ่ายเทดี
• ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส โดยอาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมที่เขย่าฟองออกแล้ว หรือผงละลายเกลือแร่ก็ได้ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำจากไข้สูง และจากการรั่วของน้ำออกนอกหลอดเลือด
• กินอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย ถ้าอาเจียน ควรดื่มน้ำเกลือแร่ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยๆ
• หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดทุกชนิด และหลีกเลี่ยงอาหาร หรือน้ำที่มีสีดำ สีน้ำตาล หรือสีแดง เพราะหากผู้ป่วยอาเจียน อาจทำให้สับสนกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้
• หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่นโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์ และยาปฏิชีวนะ รวมไปถึงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
• หากมีไข้สูง ให้ดูแลเช็ดตัวลดไข้อยู่เสมอ เพื่อป้องกันภาวะช็อก
• ห้ามใช้ ยาลดไข้ หรือ ยาแก้หวัด ที่ไม่ใช่ยาพาราเซตามอล เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยไข้เลือดออกได้
การป้องกัน โรคไข้เลือดออก
แม้ว่าในปัจจุบัน จะกำลังมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ป้องกันตนเองไม่ให้โดนยุงกัด และควบคุมยุงลายให้มีจำนวนลดลง ควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายนั่นเอง
ที่มา:https://www.gedgoodlife.com/health/5058-%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81/